แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การบ้าน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การบ้าน แสดงบทความทั้งหมด
ปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้การสื่อสารไม่บรรลุผลตามจุดมุ่งหมาย
การบ้าน :ปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้การสื่อสารไม่บรรลุผลตามจุดมุ่งหมาย
อุปสรรคในการสื่อสาร

 
อุปสรรคในการสื่อสาร หมายถึง สิ่งที่ทำให้การสื่อสารไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ ของผู้สื่อสาร และผู้รับสาร   อุปสรรคในการสื่อสารอาจเกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอนของกระบวนการสื่อสาร ดังนั้นอุปสรรค ในการสื่อสารจากองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้



1.  อุปสรรคที่เกิดจากผู้ส่งสาร

                 
                 1.1  ผู้ส่งสารขาดความรู้ความเข้าใจและข้อมูลเกี่ยวกับสารที่ต้องการจะสื่อ
                 1.2  ผู้ส่งสารใช้วิธีการถ่ายทอดและการนำเสนอที่ไม่เหมาะสม
                 1.3  ผู้ส่งสารไม่มีบุคลิกภาพที่ไม่ดี และไม่เหมาะสม
                 1.4  ผู้ส่งสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการส่งสาร
                 1.5  ผู้ส่งสารขาดความพร้อมในการส่งสาร
                 1.6  ผู้ส่งสารมีความบกพร่องในการวิเคราะห์ผู้รับสาร




2.  อุปสรรคที่เกิดจากสาร

 
               
                  2.1  สารไม่เหมาะสมกับผู้รับสาร อาจยากหรือง่ายเกินไป
                  2.2  สารขาดการจัดลำดับที่ดี สลับซับซ้อน ขาดความชัดเจน
                  2.3  สารมีรูปแบบแปลกใหม่ยากต่อความเข้าใจ
                  2.4  สารที่ใช้ภาษาคลุมเครือ ขาดความชัดเจน




3.  อุปสรรคที่เกิดขึ้นจากสื่อ หรือช่องทาง

 
               
                 3.1  การใช้สื่อไม่เหมาะสมกับสารที่ต้องการนำเสนอ
                 3.2  การใช้สื่อที่ไม่มีประสิทธิภาพที่ดี
                 3.3  การใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสมกับระดับของการสื่อสาร




4.  อุปสรรคที่เกิดจากผู้รับสาร

 
               
                 4.1  ขาดความรู้ในสารที่จะรับ
                 4.2  ขาดความพร้อมที่จะรับสาร
                 4.3  ผู้รับสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้ส่งสาร
                 4.4  ผู้รับสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อสาร
                 4.5  ผู้รับสารมีความคาดหวังในการสื่อสารสูงเกินไป
ภาษาไทยมีความสำคัญต่อชีวิตคนไทยอย่างไร
การบ้าน :ภาษาไทยมีความสำคัญต่อชีวิตคนไทยอย่างไร

        1.เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร
การดำเนินชีวิตประจำวันและในการประกอบอาชีพจะมีการติดต่อสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจเรื่องราว ความรู้สึก ความนึกคิด ความต้องการของแต่ละฝ่าย ซึ่งได้แก่ผู้ส่งสาร ซึ่งจะส่งสารโดยแสดงพฤติกรรมในรูปของการพูด การเขียน หรือแสดงด้วยท่าทาง ส่วนผู้รับสารจะรับสารด้วยการฟัง การดู หรือการอ่าน แต่ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารหรือรับสารก็ตาม เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้เป็นสะพานเชื่อมโยงเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันคือ ภาษา


       2.เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และแสวงหาความรู้
บรรพบุรุษไทยได้สร้างสรรค์ สะสม อนุรักษ์และถ่ายทอดเป็นวัฒนธรรมให้เป็นมรดกของชาติโดยใช้ภาษาไทยเป็นสื่อ คนรุ่นหลังจึงใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการศึกษาแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ และรับสิ่งที่เป็นประโยชน์มาใช้ในการพัฒนาตนเอง ทั้งการพัฒนาสติปัญญา กระบวนการคิด การวิเคราะห์ การวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงความคิดเห็น ทำให้เกิดความรู้และประสบการณ์ที่งอกงาม กลายเป็นผู้ที่มีชีวทัศน์และโลกทัศน์ที่สอดคล้องกับยุคสมัย สามารถติดตามความเจริญก้าวหน้าของศาสตร์ต่างๆ จึงรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกปัจจุบัน ซึ่งนำมาพัฒนาประเทศชาติได้อย่างดี


       3.เป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน
ในประเทศไทยนอกจากจะมีภาษาไทยกลางซึ่งเป็นภาษาประจำชาติแล้ว เรายังมีภาษาถิ่นต่างๆ ซึ่งเป็นภาษาที่ติดต่อกันเฉพาะในกลุ่ม และเมื่อกำหนดให้ภาษาไทยกลางเป็นภาษามาตรฐานเป็นภาษาที่ใช้ร่วมกัน ทำให้การสื่อสารเข้าใจตรงกันทั้งในการศึกษา ในทางราชการ และในสื่อสารมวลชน การใช้ภาษาไทยกลางช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันในสังคมไทยโดยส่วนรวม


       4.เป็นเครื่องมือในการบันทึกและถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของบรรพบุรุษในรูปของวรรณคดีและวรรณกรรม
การอ่านและการศึกษาวรรณคดีและวรรณกรรมแต่ละสมัย ทำให้ชนรุ่นหลังรับรู้และเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้แต่ง เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ เข้าใจเหตุการณ์ เข้าใจลักษณะสังคม และสังคมของผู้คนในสมัยนั้นๆ


       5.เป็นเครื่องมือสร้างเอกภาพของชาติ
การที่ประเทศไทยมีภาษาไทยกลางเป็นมาตรฐานที่ใช้ร่วมกัน มีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาติที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีอารยธรรม การใช้ภาษาไทยในการนติดต่อสื่อสารทำให้เกิดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเกิดความผูกพันเป็นเชื้อชาติเดียวกัน ทำให้เกิดความปรองดองและร่วมมือกันที่นะพัฒนาชาติไทยให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงต่อไป

       6.เป็นเครื่องมือช่วยจรรโลงใจ
ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีเสียงไพเราะเมื่อผู้เขียนได้นำมาแต่งเป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง เมื่อใครได้อ่านได้ฟังก็จะเกิดความรู้สึกชื่นบาน เกิดความจรรโลงใจ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของอะไรก็ตามซึ่งเป็นเรื่องราวที่ช่วยให้เกิดความจรรโลงใจ และความชื่นบานนี้จำเป็นต้องอาศัยภาษาเป็นสื่อ ภาษาไทยจึงมีความสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตคนไทยมีความสดชื่น รื่นรมย์ มีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เคร่งเครียด เกิดความคิดสร้างสรรค์ และสังคมดำรงอยู่ได้ด้วยด
หาเวลาคอยเฉลี่ย แบบ FCFS, SJF, Priorit และ RR (เวลาควันตัม = 2)
การบ้าน :
แบบฝึกหัดบทที่ 3
โปรเซส
เวลาที่ใช้
ลำดับความสำคัญ
P1
8
2
P2
1
1
P3
2
2
P4
1
3
P5
3
1

โจทย์ หาเวลาคอยเฉลี่ย แบบ FCFS, SJF, Priorit และ RR (เวลาควันตัม = 2)
ให้นักศึกษาเขียนโปรแกรม ภาษา C จงเขียนโปรแกรม เพื่อแปลงค่าเงินบาทไทยเป็นเงินดอลล์ล่าสหรัฐอเมริกา
การบ้าน :ให้นักศึกษาเขียนโปรแกรม จากโจทย์ข้อ 5 ในบทที่ 2
จงเขียนโปรแกรม เพื่อแปลงค่าเงินบาทไทยเป็นเงินดอลล์ล่าสหรัฐอเมริกา

หมายเหต : กำหนดให้ 1 ดอลล์ล่ามีค่าเท่ากับ 30 บาท


ให้นักศึกษาเขียนโปรแกรม C เพื่อคำนวณหาเงินสุทธิของพนักงานในบริษัทแห่งหนึ่ง
การบ้าน :ให้นักศึกษาเขียนโปรแกรม จากโจทย์ข้อ 4 ในบทที่ 2
จงเขียนโปรแกรม เพื่อคำนวณหาเงินสุทธิของพนักงานในบริษัทแห่งหนึ่ง โดยให้รับค่าเงินเดือนของพนักงานทางแป้นพิมพ์ และกำหนดให้ เงินสุทธิ
= เงินเดือน – ค่าภาษี และค่าภาษีในอัตรา 5% ของเงินเดือน
 

6. จงวิเคราะห์ความต้องการของปัญหาและออกแบบโปรแกรมโดยเขียนขั้นตอนวิธีและผังงาน เพื่อคำนวณหาเกรดจากคะแนนรวมทั้งหมดของนักศึกษาโดยมีเงื่อนไขดังนี้
การบ้าน :
1.    จงวิเคราะห์ความต้องการของปัญหาและออกแบบโปรแกรมโดยเขียนขั้นตอนวิธีและผังงาน เพื่อคำนวณหาเกรดจากคะแนนรวมทั้งหมดของนักศึกษาโดยมีเงื่อนไขดังนี้

คะแนน 90-100 ได้เกรด A   คะแนน 80-89 ได้เกรด B      คะแนน 70-79 ได้เกรด C
คะแนน 60-69 ได้เกรด D      คะแนน 0-59 ได้เกรด E และมีรูปแบบการแสดงผลลัพธ์
จงออกแบบโปรแกรมโดยเขียนขั้นตอนวิธีและเขียนผังงานโปรแกรม เพื่อแปลงค่าเงินบาทไทยเป็นเงินดอลล์ล่าสหรัฐอเมริกา
การบ้าน :จงออกแบบโปรแกรมโดยเขียนขั้นตอนวิธีและเขียนผังงานโปรแกรม เพื่อแปลงค่าเงินบาทไทยเป็นเงินดอลล์ล่าสหรัฐอเมริกา

1.       ขั้นตอนวิธี
1. เริ่ม
2. รับค่า
Money_Baht
3. รับค่า
One_Dollar_to_Baht
จงออกแบบโปรแกรมโดยเขียนขั้นตอนวิธีและเขียนรหัสเทียม เพื่อคำนวณหาเงินสุทธิของพนักงานในบริษัทแห่งหนึ่ง โดยให้รับค่าเงินเดือนของพนักงานทางแป้นพิมพ์ และกำหนดให้ เงินสุทธิ = เงินเดือน – ค่าภาษี และค่าภาษีในอัตรา 5% ของเงินเดือน
การบ้าน :จงออกแบบโปรแกรมโดยเขียนขั้นตอนวิธีและเขียนรหัสเทียม เพื่อคำนวณหาเงินสุทธิของพนักงานในบริษัทแห่งหนึ่ง โดยให้รับค่าเงินเดือนของพนักงานทางแป้นพิมพ์ และกำหนดให้ เงินสุทธิ = เงินเดือน – ค่าภาษี และค่าภาษีในอัตรา 5% ของเงินเดือน


ขั้นตอนวิธี
1. เริ่ม
2. รับค่า
Salary
3. คำนวณ
Vat = Salary * 5%
4. คำนวณ Net_Salary = Salary – Vat
5.
พิมพ์ค่า Net_Salary
จงวิเคราะห์ความต้องการของปัญหา เพื่อคำนวณหาโบนัสให้พนักงานบริษัทหนึ่งซึ่งคิดให้ 5 เท่าของเงินเดือนแต่ละคน
การบ้าน :1.  วิเคราะห์ผลลัพธ์
                1.1 สิ่งที่โจทย์ต้องการ คือ โบนัสสุทธิของพนักงาน
                1.2 รูปแบบผลลัพธ์ คือ แสดงผลค่าโบนัสสุทธิของพนักงาน

จงวิเคราะห์ความต้องการของปัญหา เพื่อแปลงหน่วยชั่วโมงเป็นนาที โดยให้รับค่าจำนวนชั่วโมงเข้าทางแป้งพิมพ์ แล้วแสดงผลลัพธ์ทางจอภาพ
การบ้าน :1.  วิเคราะห์ผลลัพธ์
                1.1 สิ่งที่โจทย์ต้องการ คือ จำนวนนาที
                1.2 รูปแบบผลลัพธ์ คือ แสดงผลค่าจำนวนนาทีที่คำนวณได้ทางจอภาพ

จงวิเคราะห์ความต้องการของปัญหาเพื่อคำนวณราคาขายสินค้าโดยคิดส่วนลดให้ 30%
การบ้าน :1.  วิเคราะห์ผลลัพธ์
                1.1 สิ่งที่โจทย์ต้องการ คือ คำนวณราคาขายสุทธิ
                1.2 รูปแบบผลลัพธ์ คือ แสดงผลค่าคำนวณราคาขายสุทธิ

อธิบาย Service บริการ พื้นฐานของระบบปฎิบัติการ
การบ้าน :
ตอบ ระบบปฏิบัติการเป็นผู้จัดสภาพแวดล้อมให้โปแกรมทำงาน โดยให้บริการต่างๆ แก่โปรแกรมและผู้ใช้ระบบ ระบบปฏิบัติการต่างๆ มักมีการให้บริการที่แตกต่างกัน แต่จะมีส่วนหนึ่งที่เหมือนกันเพื่อให้ความสะดวกต่อผู้ใช้หรือผู้เขียนโปรแกรม ในการทำงานต่างๆ ให้ง่ายและรวดเร็ว บริการเหล่านี้ได้แก่
อธิบายโมเดลของระบบ Multi processor
การบ้าน :
ตอบ  เป็นระบบที่มีตัวประมวลผล หรือ CPU หลายตัวอยู่ในเครื่องเดียวกัน ซึ่งทำให้การประมวลผลทำได้เร็วขึ้น โดย CPU จะมีการใช้อุปกรณ์ และทรัพยากรต่างๆร่วมกัน ข้อดีของระบบนี้คือ
                1. ทำให้การแสดงผลทำได้เร็วขึ้น หรือการประมวลผลเร็วขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าการมี CPU 2 ตัวจะทำให้ประมวลผลได้เร็วขึ้น 2 เท่า
อธิบายระบบงานแบบ BACTH, Buffer(บัฟเฟอร์) , SPOOLING
การบ้าน :
ตอบ ระบบงานแบบแบตช (Batch System) เป็นระบบปฏิบัติการที่เตรียมระบบของเครื่องเพื่อรองรับงานที่ผู้ใช้รวมกันไว้เป็นกลุ่ม (Batch) และส่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลครั้งเดียวจนเสร็จ และเตรียมเครื่องไว้สำหรับรองรับงานชิ้นใหม่ ระบบนี้เรียกว่าการประมวลผลแบบกลุ่มงาน ผลลัพธ์ที่ประมวลผลได้จะพิมพ์ออกมาทางเครื่องพิมพ์
อธิบายสาเหตุที่ระบบปฎิบัติการจะต้องทำการจัดสรรคทรัพยากร
การบ้าน :
ตอบ สาเหตุที่จำเป็นต้องมีการจัดสรรทรัพยากรในระบบก็เพราะว่า
ทรัพยากรของระบบมีจำนวนจำกัด
                ทรัพยากรในระบบ เช่น ซีพียู ซึ่งคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักมีซีพียูเพียงตัวเดียวในการประมวลผล แต่ซีพียูก็จำเป็นต้องทำการประมวลผลงาน
ซอฟร์แวร์แบ่งออกเป็นกี่ประเภทอะไรบ้าง พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
การบ้าน :
ตอบ
ซอฟต์แวร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.             ซอฟต์แวร์ระบบ
2.             ซอฟต์แวร์ประยุกต์

1.             ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software หรือ Operating Software : OS)    หมายถึงโปรแกรมที่ทำหน้าที่ประสานการทำงาน ติดต่อการทำงาน ระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ประยุกต์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ Software ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำหน้าที่ในการจัดการ ระบบ ดูแลรักษาเครื่อง การแปลภาษาระดับต่ำหรือระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องเพื่อให้เครื่องอ่านได้เข้าใจ
ให้บอกส่วนประกอบของ CPU
การบ้าน :
ตอบ ซีพียูหรือหน่วยประมวลผลกลาง ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 2 ส่วน คือ
1.              Control Unit หรือ ส่วนควบคุม  คือ ส่วนที่ทำหน้าที่สร้างสัญญาณและส่งสัญญาณไปควบคุมการทำงานของส่วนประกอบต่างๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ คล้ายการส่งสัญญาณควบคุมจากสมองไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ส่วนควบคุมนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล แต่มีหน้าที่ประสานงานให้ส่วนประกอบต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นระบบ สัญญาณควบคุมจำนวนมาก สามารถเดินทางไปยังส่วนประกอบต่างๆ
ระบบคอมพิวเตอร์มีองค์ประกอบอะไรบ้าง (อธิบาย)
การบ้าน :
ตอบ ระบบคอมพิวเตอร์ควรจะประกอบไป ด้วยองค์ประกอบ  5  ด้าน ที่ต้องทำงานประสานกัน  คือ
1.             ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
2.             ซอฟต์แวร์ (Software)
3.             บุคลากร (Peopleware)
4.             ข้อมูล (Data / Information)
5.             กระบวนการทำงาน (Procedure)
“ผลการศึกษา วัดผลสำเร็จของคนไม่ได้แม้แต่น้อย” “ผลการเรียนนั้น นำมาเป็นเครื่องมือตัดสินคนไม่ได้”
การบ้าน :“ผลการศึกษา วัดผลสำเร็จของคนไม่ได้แม้แต่น้อย” “ผลการเรียนนั้น นำมาเป็นเครื่องมือตัดสินคนไม่ได้”

แต่ เล็กจนโตทุกคนคงเคยเห็น เคยพบมาด้วยตัวเองตลอด ว่าเพื่อนๆของคุณ มีทั้งเพื่อนที่เรียนเก่ง เพื่อนที่เรียนไม่เก่ง เพื่อนที่มีลักษณะหัวแข็ง เพื่อนชอบประจบคุณครู เพื่อนที่ ไม่ยอมคุยกับคุณครู
และ หากใครมีเพื่อน ที่จำได้ หรือคบกันนานๆ หรือได้ติดต่อ หรือรู้ข่าวคราวกัน ตั้งแต่ชั้นประถม จนถึงวัยทำงาน จะพบว่า ส่วนหนึ่งเรียนเก่งในชั้นประถม แต่กลับเรียนแย่ในช่วงมหาลัย หลายคนเรียนเก่งตลอด จนจบ และบางส่วนเรียนไม่เก่งยังไง ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น อีกบางส่วน เรียนไม่เก่งชั้นประถมแต่ พอเข้ามหาลัยกลับเก่งเป็นคนละคน แบบเรียนได้ เกรดหนึ่ง เกรดสองตลอด เกือบตกทุกวิชา พอเข้ามหาลัย ได้แทบจะ สี่จุดศูนย์เลยก็มี อันนี้เรื่องจริง ยกตัวอย่างได้เลยเพื่อนผมเอง ชื่อเอ๋ ตอนประถม ได้เกรดเฉลี่ยหนึ่งกว่าๆ พอเข้ามหาลัย มีเทอมนึง ได้สี่จุดศูนย์ศูนย์ ตอนนี้เป็นเจ้าของเว็บไซต์ siamdora.com และก็เพื่อนผมอีกนั่นแหละ ที่ตอนประถมเรียนดี ถึงขนาดอาจารย์รู้จักทั้งโรงเรียน ทำกิจกรรมทุกอย่าง แถมมีพรสวรรค์ วาดรูปได้ลงหนังสือ ที่พิมพ์จำหน่ายทั่วประเทศไทยด้วย (แต่ผมจำชื่อหนังสือไม่ได้) แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าเรียนจบรึยัง หรือทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ เรามาลองสังเกตุ และแยกแยะเพื่อหาเหตุผลกัน ว่าเด็กเรียนเก่ง หรือไม่เก่ง เป็นเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆ ไม่เกี่ยวกับ IQ แน่นอน
เรียนเก่งเพราะกลัวความคาดหวังของคนอื่น
เด็ก กลุ่มนี้ กลัวว่าอาจารย์จะดุ กลัวพ่อแม่ดุ หรือกลัวความคาดหวังของคนอื่น ที่มีต่อตัวเอง และเรียนเพื่อให้สังคม หรือเพื่อนๆยอมรับ สิ่งเหล่านี้ เป็นแรงขับให้เด็กกลุ่มนี้เรียนเก่ง แต่เค้าคงไม่รู้หรอกว่า เค้าเรียนไปเพื่ออะไร
เรียนไม่เก่งเพราะรู้จักตัวเองตั้งแต่เด็กและปราศจากความกลัว
เด็ก กลุ่มนี้จะประสบผลสำเร็จอย่างสูง ในอนาคต และจะประสบผลสำเร็จได้รวดเร็ว พวกเค้ารู้ว่าตัวเอง ต้องการอะไร ตั้งแต่อายุยังน้อย และอยากจะทำมันตั้งแต่วันนั้นเลย
เรียนเก่งเพราะรู้จักตัวเองตั้งแต่เด็ก
กลุ่มนี้ จะเรียนเพราะรู้ว่าเรียนเพื่ออะไร มีความเข้าใจในระบบสังคม และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และรู้ว่า เค้าเรียนไปเพื่ออะไร
เรียนไม่เก่งเพราะยังเด็กไม่ได้คิดอะไร
กลุ่ม นี้ก็เติบโตตามวัย เป็นปรกติ ใช้ชีวิตสมวัยเด็ก และยังคาดเดาไม่ได้ ว่าโตขึ้นจะเปลี่ยนแปลงไปในทางไหน เพราะยังไม่ถึงเวลาที่เค้าต้องคิด
เรียนเก่งโดยธรรมชาติ
อัน นี้ไม่ทราบจะอธิบายยังไงเหมือนกันครับ เพราะสมองของคนเรา ไม่เท่ากัน และไม่เท่ากันจริงๆนะครับ ตอนผมนั่งเรียนเรื่อง Neuron network (โครงข่ายใยสมอง) อาจารย์บอกว่า ถ้าสมองของคนเราเท่ากันจริง นั่นหมายความว่า คนที่มีรางกายเล็กที่สุด จะต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุด ซึ่งไม่จริงครับ
เรียนไม่เก่งเพราะสภาพแวดล้อม
อันนี้ก็ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างประกอบกันครับ และสภาพแวดล้อม ก็ทำให้เด็กเรียนเก่งได้ด้วยเช่นกัน
เรียน ไม่เก่ง เพราะเก่งเกินกว่า หลักสูตรจะวัดผลให้ตัวเค้าได้ หากผมจำไม่ผิด ตอนเด็กๆเคยดูการ์ตูนเรื่องราวชีวิตของ โทมัส อัลวา เอดิสัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตหลอดไฟได้ เป็นคนแรกของโลก รวมถึงเป็นผู้คิดค้นนวัตกรรม มากมาย ก็ไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่ง กลับกลายเป็นคนแปลกเสียด้วยซ้ำ ในการ์ตูนที่ผมได้ดู เอดิสันตอนเด็ก ถามคุณครูว่า “ทำมัยผีเสื้อถึงบินได้ครับ?” คุณครูก็หัวเราะ แล้วตอบว่า เพราะมีปีก ก็เลยบินได้ไงจ๊ะ เอดิสันถามต่อว่า “ทำมัยมีปีกถึงบินได้?” คุณครูตอบว่า อย่างนกมีปีก ก็บินได้จ่ะ ผีเสื้อก็มีปีก ก็บินได้เหมือนกัน แล้วก็มองว่า เอดิสัน ช่างเป็นเด็กที่ หัวอ่อน ตามไม่ทันเด็กนักเรียนคนอื่นจริงๆ ผมมองๆ ก็เดาไม่ออกว่าในใจ เอดิสัน กำลังต้องการคำตอบแบบไหน แต่คาดว่า คนที่จะมาตอบคำถาม เรื่องผีเสื้อทำมัยบินได้ของเอดิสัน ให้เค้าเข้าใจ คงจะมีแต่สองพี่น้องตระกูลไรท์ ที่ร่วมกันคิดค้นเครื่องบินเท่านั้น
จริงๆมีหลายเหตุผล แต่จะขอยกตัวอย่างแค่นี้นะครับ เพราะหัวใจของเรื่องนี้คือ
ผล การเรียนนั้น ได้ผลมากจากเครื่องมือวัด ซึ่งเครื่องมือวัดผล คือ หลักสูตร และตัวบุคคล นั้นก็คืออาจารย์ เครื่องมือวัด ย่อมต้องมีเปอร์เซ็นผิดพลาด Multi-meter ก็ยังมีเปอร์เซ็นผิดพลาดแจ้งไว้ แต่ อาจารย์กับหลักสูตร ไม่เคยแจ้งเปอร์เซ็นผิดพลาดของตัวเอง วัดตัวเองยังไม่ได้ จะเอาไปวัดคนอื่นได้ยังไง หากเอาหลักสูตรทีวัดตัวเองไม่ได้พวกนี้ ไปวัดคนอย่างเช่น เอดิสัน, ไอสไตล์ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอา Multi-meter ตัวเล็กๆ ไปวัดคล่อม กระแสไฟฟ้า High voltage ซึ่งผลก็คือได้ค่าเท่ากับ 0 (เพราะ meter ขาด เข็มไม่กระดิก)
“ผลการเรียนนั้น นำมาเป็นเครื่องมือตัดสินคนไม่ได้”

ที่มา http://www.unigang.com/Article/6855
ยุทธศาสตร์ของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์
การบ้าน :ยุทธศาสตร์ของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ “เราจะเพิ่มช่องทางขยายตลาดให้ครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันทั้ง CP Fresh Mart, CP Food Market, MT และจุดขายอื่นๆ มีเปิดกระจายอยู่ทั่วโลกรวมกว่า 10,000 จุดแล้ว”  ซีพีเอฟทุ่มงบไม่น้อยเพื่อสร้างแบรนด์ให้เกิดขึ้น ด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างแบรนด์ซีพีเป็น “ครัวของโลก” หรือ “Kitchen of the World” และทำให้ซีพีเป็นแบรนด์ top of mind คือ อยู่ในใจผู้บริโภคเป็นอันดับแรก ซึ่งซีพีเอฟเชื่อว่าการก้าวไปเป็นครัวโลกได้ต้องมุ่งไปที่สินค้าสำเร็จรูปและการสร้างแบรนด์ และอาหารสำเร็จรูปติดแบรนด์