ฝึกภาษาอังกฤษเอง เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ของการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล

วันนี้เว็บไซต์ PrettyHD จะมาอัพเดทบทความเกี่ยวกับ อัพเดทเรื่อง บทสนทนาอังกฤษ ฝึกภาษาอังกฤษเอง เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ของการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ซึ่งมีเนื้อหามีดังนี้


เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ของการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล

อันที่จริงบทความนี้ ผมเคยเขียนมาหลายปีแล้ว และปัจจุบันนี้ก็ยังได้รับการถูกเผยแพร่ในเว็บต่างๆ ซึ่งแต่ก่อนจะอยู่ในเว็บ www.Mthai.com ในหัวข้อ Hot issue(จริงๆแล้วมีหลายตอนมาก ส่วนมากแปลและดัดแปลงมาจากหนังสือทำอย่างไรให้เก่งภาษาอังกฤษ) และมีบุคคลเป็นจำนวนมาก ที่เข้ามาอ่าน บางวันหลายพันคน และตอนนี้ก็มีหลายๆเว็บด้วยกัน เอาไปไว้ในเว็บบอร์ดของตัวเอง ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร เพราะถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ผมเป็นคนหนึ่งครับ ที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษ เลยเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้วิชาภาษาอังกฤษของผม อ่อนมากๆ เหตุผลมีหลายประการที่ทำให้ผมไม่สนใจเรียนภาษาอังกฤษ เช่น ไม่รู้เรียนเอาไปทำอะไร เรียนไม่รู้เรื่อง เรียนก็แค่ให้สอบผ่าน เป็นต้น



บางครั้งผมมักจะคิดถึงวันเก่าๆ เช่น หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษเวลาครูสอน ผมจะไม่นั่งหลับหลังห้อง จะไม่วาดหนวดให้เพื่อน เวลาเพื่อนหลับ ความเป็นนักเรียนที่ดีย้อนกลับมาทันใดเวลาคิดอะไรเพลินในห้องน้ำ เสียดายเวลาที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเมื่อเรียนอยู่สมัยตั้งแต่ประถม-มัธยม-ป.ตรี ในห้องเรียนผมจะบอกว่าตัวเองโง่ที่สุดในห้องก็ไม่เชิง เพราะมีคนญี่ปุ่นอีกหลายคน ลาว เวียดนาม เกาหลีอีกเพียบ บางคนภาษาอังกฤษแย่กว่าผมอีก Because what. Why you come here? (แปลกันแบบตรงๆ Because เพราะ What อะไร Why ทำไม You คุณ Come here จึงมาที่นี่=เพราะอะไรทำไมคุณจึงมาที่นี่) มีหลายประโยคที่คนญี่ปุ่นบางคนถามผม งงมาก บางครั้งถึงกับมีการจดลงในฝ่ามือ และผมก็ต้องเอามาเปิดดิกที่ห้อง แต่ก็พอไปด้วยกันได้ เพราะภาษาอังกฤษของพวกเรา แบบ งูๆปลาๆ บางคนเห็นหน้ากันครั้งแรก Who are you? แทนที่จะถามว่า Where are you from? ผมก็ต้องถามย้อนกลับไปว่า Me? ต้องออกเสียง (หมี๋) ไม่ใช่ (มี) เจอคนญี่ปุ่นครั้งแรก ผมคิดเอาเองนะ อย่างน้อย ผมคนหนึ่งหละที่จะไม่สอบตกคนเดียว แต่คนญี่ปุ่นขยันมากๆๆ คนเอเชียพวกคนญี่ปุ่นไม่คบด้วยเลย ผมก็ไม่สนและไม่ง้อ คนเวียดนาม คนลาวก็เยอะแยะ มันเป็นการเรียนภาษาอังกฤษจากประสบการณ์จริง มากกว่าเรียนในตำรา อาจจะมีหลายๆ อย่าง ที่ขัดความเป็นจริง ที่คนไทยปลูกฝั่งกันมาหลายยุคหลายสมัย เราต้องทำลายกำแพงตัวนั้นออกมาได้เสียก่อน นั่นก็คือ ความขี้อาย และต้องกล้าแสดงออก

บางครั้ง ความขี้อาย ก็เป็นอุปสรรคสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษเหมือนกันนะครับสำหรับคนไทย หากคิดจะเรียนภาษาอังกฤษ สังเกตคนที่เรียนภาษาอังกฤษและพูดได้ดี หากมัวแต่อาย กลัวคนอื่นจะล้อว่า หมอนี่ ยัยนี่ 11 ร ด (แรด) คิดเสียใหม่ครับ ยิ่งดัดจริตให้มากเท่าไร คุณก็จะพูดเหมือนฝรั่ง และฝรั่งก็จะเข้าใจคุณ แต่ดัดจริต ก็ขอให้อยู่ในขอบเขตนะครับ ไม่ใช่ดัดจนเกินเป็นฝรั่งไป แม้แต่ฝรั่งก็ฟังไม่รู้เรื่อง จริงๆอีกเรื่องหนึ่ง ที่คนไทยหรือชาติไหน ไม่ควรจะกังวลนั่นก็คือสำเนียง ไม่ว่าคุณจะพูดภาษาอังกฤษอย่างไร คุณก็จะไม่พ้นอังกฤษสำเนียงไทย  เช่นคนญี่ปุ่น เขาก็มีสำเนียงภาษาอังกฤษแบบญี่ปุ่น สิงคโปร์ เขาก็มีสำเนียงภาษาอังกฤษของคนสิงคโปร์ จีน ฝรั่งเศส เป็นต้น มีข้อยกเว้นอย่าง หากคนไทยคนนั้นๆ ได้รับการเรียน และการฝึกฝนจากสังคมรอบข้างที่เป็นฝรั่ง สำเนียงไทยอาจจะเบาๆ ลงบ้าง จากแม่แบบที่เขาได้รับการเรียนรู้จากการฟังจากต้นแม่แบบ

เคยเห็นคนพูดภาษาอังกฤษไหม บางคนพูดจีบปากจีบคอ เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ แต่นั่นคือธรรมชาติของการพูดภาษาอังกฤษ การพยายามทำเสียงให้เหมือนฝรั่งไม่ใช่เสียงที่น่าอายครับ แต่ที่น่าอายกว่า นั่นก็คือ พูดภาษาอังกฤษแล้ว ฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง (เป็นเพราะเราไม่ได้ออกเสียงเหมือนอย่างที่เขาออก เช่น Menu คนไทยออกเสียง เมนู ฝรั่งออกเสียง เป็นเมนิว อันที่จริงเยอะมากนะครับ บางครั้งเป็นภาษาอังกฤษแบบไทยหน่ะ ) คุณที่พูดกับฝรั่งเวลาคุยภาษาไทยด้วยกันจะเข้าใจความรู้สึกนี้ เวลาฝรั่งออกเสียงไม่ชัด คอชอนา (โฆษณา) บางครั้งก็ได้ยินเหมือน เป็น ก.ศ.น. (การศึกษานอกโรงเรียน) ทำให้การเข้าใจคลาดเคลื่อนได้

ภาษาอังกฤษอาจจะไม่ใช่ภาษาที่คนไทยส่วนใหญ่พูดกัน แต่หากใครพูดได้ ผมเชื่อแน่ว่า อย่างน้อยๆ คุณเดินไปไหน คุณจะไม่กลัวเลยหากมีฝรั่งมาถามทาง ขอคำชี้แนะบางอย่าง และการไปสมัครงานที่ไหนก็ย่อมได้เปรียบกว่าคนที่พูดได้แค่ภาษาไทย ผมนับว่าโชคดีที่ได้เพื่อนฝรั่งช่วยเหลือในหลายๆด้านที่เป็นเพื่อนร่วมห้องคอยเตือนเวลาใช้คำพูดผิด บางคนได้ไปเที่ยวรอบโลกมาแล้ว ผมก็ได้เที่ยวรอบโลกกับเขาด้วย จากการได้พูดคุย ได้รับรู้ว่าบ้านเมืองเขาเป็นอย่างไร ได้รู้ว่าประเทศเปรูเป็นอย่างไร ทั้งที่ตัวเองไม่เคยไป และแตกต่างจากเมืองไทยอย่างไร เป็นการเปิดรับข้อมูลจากคนต่างชาติโดยตรง และทำให้เรามีวิสัยทัศน์กว้างมาก โดยเฉพาะข่าวสารทางทีวี หนังสือพิมพ์ เพราะภาษาที่เขาใช้กันส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษ หากคุณฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง แค่อยู่หน้าจอทีวี คุณก็รับรู้ข่าวสารทั่วโลกได้จาก CNN, BBC News การเรียนภาษาอังกฤษแต่ละคน อาจจะมีปัญหาไม่เหมือนกัน บางคนสามารถพูดกับฝรั่งได้เป็นวัน แต่ให้เขียน เขียนไม่ได้ ผมก็อยู่ในกรณีนี้เช่นเดียวกันนี้ จะให้ผมพูดกับฝรั่งทั้งวันก็พูดได้ แต่จะให้เขียนจดหมายสักฉบับหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่ผมจะกังวลมากนั่นก็คือ ไวยากรณ์ บางครั้งก็เขียนศัพท์ผิดๆ ถูกๆ ทั้งที่พูดได้ แต่เขียนไม่ได้ มีบ่อยครั้ง ที่อาจารย์บรรยายแล้วให้ผมจดตาม ผมจดได้ไม่ถึง 50 คำ แค่คำว่า ภาษา (Languages) บางครั้งผมก็ยังเขียนไม่ถูก แต่ให้ผมไปบรรยายหน้าห้อง ผมทำได้ เพราะบางคำผมพูดได้ แต่ผมเขียนไม่ได้ แต่ก็มีเพื่อนผมหลายคนนะครับ เขียนได้ แต่พูดไม่ได้ และเชื่อไหม มีเด็กนักเรียนไทยเป็นจำนวนมาก อยู่ในกรณีนี้ นั่นก็คือ เขียนได้ แต่พูดแล้ว ฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง ปัญหาข้อนี้ก็คือ ผมได้รับการฝึกฝนจากการฟังมากกว่า การเรียนด้วยตำราในหนังสือ

หากเราฟังมากๆ สิ่งหนึ่งที่เราจะได้รับนั่นก็คือ ทักษะการออกเสียง การเน้นคำ ทักษะการพูด
หากเราอ่านตำรามากๆ สิ่งที่เราจะได้นั่นก็คือ ไวยากรณ์ กระบวนการเรียนรู้ เพราะตำราไม่สามารถสอนเราออกเสียงที่ถูกต้องได้ เพราะ หลักการเรียนพูดภาษาอังกฤษ ก็คือ ต้องเรียนด้วยหู อย่าเรียนด้วยตา คือฟังมาแบบไหน ต้องพูดแบบนั้น จริงๆ แล้วทักษะการเรียนภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติก็คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน แต่เชื่อไหม ว่าทำไมคนไทยจึงเรียนภาษาอังกฤษนานมากๆ เพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่ เรียนเขียน อ่าน พูด และฟัง เพราะทักษะการอ่าน เขียน มันเหมาะสำหรับคนไทยเรียนไวยากรณ์ และเหมาะสำหรับคนไทยที่ต้องการสอบเพียงแค่ผ่าน ส่วนทักษะสำหรับการพูด ก็คือการพูดและฟัง เราให้ความสำคัญเป็นอันดับสุดท้าย ก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนไทยจึงเก่งแต่ไวยากรณ์ แต่ไม่เก่งพูด

ในบรรดาทักษะการเรียนภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติ มีอยู่ 4 อย่างด้วยกันครับนั่นก็คือ
1.ฟัง ต้องเริ่มต้นจากการฟังเสียก่อน แล้วค่อย....
2.พูด
3.อ่าน
4.เขียน ตามลำดับ นี่เป็นการเรียนภาษา แบบธรรมชาติ ไม่ว่าภาษาใดๆ ในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย ภาษาเหนือ อีสาน ออก ตก ลองนึกว่าคุณเรียนภาษาไทยอย่างไรดูสิครับ แล้วจะได้คำตอบ เริ่มต้นจากเราฟังจากพ่อแม่ก่อน ตั้งเกิดจนกระทั่งอายุ 2-3ขวบกว่าจะพูดได้ แต่ก่อนจะพูดได้ เราสะสมการฟังมาเกือบสองหรือสามปี เมื่อพูดได้ เราถึงไปเรียนหนังสือคือเข้าโรงเรียน คือสู่กระบวนการอ่าน และเขียน

(แต่สำหรับคนไทยส่วนมากเราจะเน้น อ่าน เขียน พูด และฟัง)
มีสถาบันสอนภาษาหลายแห่ง ที่สอน:
1.การพูดภาษาอังกฤษ แต่ไม่ได้สอนการเป็นนักพูดที่ดี
2.การฟัง แต่ไม่ได้สอนการเป็นนักฟังที่ดี
3.การอ่าน การอ่านอย่างไรให้ประสบผลสำเร็จ
4.การเขียนอย่างไร ให้ประสบผลสำเร็จ ตามที่คาดหวัง

หากมีโรงเรียนไหนที่บอกว่า สามารถสอนท่านพูดภาษาอังกฤษได้เพียงแค่ชั่วโมงเดียวอย่าไปเชื่อครับ อย่างน้อยๆ ต้องใช้เวลา ประมาณ 2-3 ปี เตรียมทำใจเอาไว้เลย ดังนั้นหากเรา เห็นป้ายโฆษณาตามสื่อ หรือป้ายที่ไหนบอกว่ากับเราว่า สามารถเรียนภาษาอังกฤษกับเขาแล้ว เราสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ภายใน 1 ชั่วโมง เขาไม่ได้หลอกเรา จริงๆ แล้วเราสามารถพูดได้ แต่อาจจะยังคุยกันไม่ได้

มีบ่อยใช่ไหมครับ ที่เรามีปัญหาในด้านการฟัง อาจเป็นเพราะ
1.ฟังไม่ชัดเอง
2. คนพูดพูดไม่ชัดเจน แต่สิ่งที่เรามักจะเจอนั่นก็คือ ฟังไม่ชัดเอง

การฟังภาษาอังกฤษเราต้องฟังอย่างที่เขาพูด ไม่ใช่คิดเอาเอง “คนที่หน้าตาดีๆที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำมานี่ก่อนดิ” คนหน้าตาดี กับคนหน้าตาขี้เหร่ ฟังอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน แต่หากเราฟังว่ามันเหมือนกันเมื่อไหร่ นั่นแหละ ทักษะการฟังเริ่มมีปัญหา การสื่อสารกันชักจะเริ่มไม่รู้เรื่อง และการสนทนาก็เริ่มมีปัญหาไปด้วย แต่การฟังภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่ยากกว่านั้นอีกครับ อาจเป็นเพราะ

1.เราไม่รู้ว่าเขาสื่ออะไร เพราะเราไม่รู้ศัพท์ หากเรารู้ศัพท์แต่ไม่รู้ประโยค ก็ยังพอเดาได้ ไปแบบน้ำขุ่น ว่าเขาหมายถึงอะไร

How about coffee? จะรับกาแฟไหม?

มีบ่อยครั้งที่ผมได้ยินคนไทยบอกว่า It’s very hot. มันร้อนมาก (ทั้งที่กาแฟก็ยังไม่มีวางอยู่บนโต๊ะ) สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง คนถามอีกอย่าง คนตอบตอบอีกอย่าง อาจจะเป็นเพราะเราเข้าไม่ถึงความลึกซึ้งของภาษาอังกฤษ

การฟังภาษาอังกฤษถือว่าเป็นบันไดก้าวแรกในการเรียนภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติ

หลายสถาบันอาจจะให้ความสำคัญไวยากรณ์ บางสำนักอาจจะเน้นทักษะยุทธ์การพูด แต่มีหลายสำนักมองข้ามการฟัง ในบรรดาทักษะการเรียนภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะ บางสำนักเน้นการพูด เพราะคิดว่า หากพูดได้ นั่นก็หมายความว่า ฟังเป็นด้วย การพูดภาษาอังกฤษได้ กับการพูดภาษาอังกฤษเป็น แตกต่างกันมากนะครับ การพูดภาษาอังกฤษได้ คุณจะพูดอย่างไรก็ได้ หากคุณอยากจะพูด แต่......การพูดภาษาอังกฤษเป็นคือ ต้องรู้จักกาลเทศะ กาลไหนควรพูดอะไร ไม่ควรพูดอะไร คำไหนเหมาะสมกับวัย หรือสถานะของคู่สนทนา ว่าต้องใช้ศัพท์อย่างไรถึงจะเหมาะสม นี่คือสิ่งสำคัญสำหรับการที่จะทำการให้การสนทนามีความสนุกและบรรลุตามเป้าหมาย หากเป็นคนที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ควรสรรหาคำพูดที่เป็นกลางๆ อย่านำคำพูดแสลงมาใช้นะครับ

Hello สวัสดีครับ
Hi หวัดดี
How have you been? เป็นไงบ้าง?

ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม เหมือนอย่างเช่น หวัดดีอาจารย์ กับ สวัสดีครับอาจารย์ หวัดดีหัวหน้า กับ สวัสดีครับหัวหน้า อย่างไรเหมาะสมกว่า เราก็ต้องเลือกให้เหมาะสมบุคคล

ดังนั้นเมื่อเราเรียนภาษาอังกฤษ มีทักษะ 4 อย่างด้วยกันที่เราจำเป็นอย่างมากเลยนะครับที่จะต้องเรียนและรู้ และทำให้การติดต่อ(สื่อความหมายของเรา) ถึงจะลุล่วงไปด้วยดี ภาษาอังกฤษอาจจะเป็นภาษาที่ 3 หรือที่ 4 ของใครบางคน หากภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาที่หนึ่งของเรา เวลาจะใช้จะต้องคำนึงนั่นก็คือ กาลเทศะ บุคคล สถานที่ (บางคนไม่เคยใส่ใจเลย) สักแต่ว่าขอให้พูดได้....และได้พูด ทักษะทั้งสี่ มีความโดดเด่น อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว หากเราเน้นทักษะการฟัง เราจะพูดเก่ง หากเราเน้นทักษะการพูด จะพูดเก่งหรือไม่ เหตุมาจากการฟัง หากเรา copy การฟังมาแบบไหน เราจะพูดแบบนั้น

1.การฟัง
2.การพูด
3.การอ่าน
4.การเขียน

ไม่ว่าเราจะเรียนภาษาอะไร ทักษะทั้ง 4 อย่างถือว่าสำคัญเท่าๆกัน แต่การใช้จะแตกต่างกัน ไกด์บางคนพูดได้ แต่ให้เขียนไม่ได้ สิ่งที่เราเคยเรียนในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลหมีน้อย จนถึงอนุบาลหมีโต สิ่งที่เราได้รับนั่นก็คือ 1.ต้องอ่านให้ครูฟัง 2.ต้องเขียนให้ครูตรวจ 3.หากมีเวลาครูก็ให้พวกเราอ่าน 4.เรามีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับฟังภาษาอังกฤษแบบอังกฤษจริงๆ อาจจะมีเหตุผลหลากหลายประการ เช่น บางคาบอาจารย์สอนภาษาอังกฤษพูดภาษาไทยเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ให้นักเรียนอ่าน....หมดชั่วโมงพอดี พอออกนอกห้องก็พูดภาษาไทยทั้งวัน เราเรียนภาษาอังกฤษเพื่อแค่ให้สอบผ่าน เพราะเมืองไทย เราไม่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษก็ได้ แต่เมื่อเราจบมานี่สิครับ มีปัญหาและเป็นปัญหา....เมื่อไปสมัครงาน บางบริษัทต้องสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ บางคนถึงกับต้องไปติวภาษา เพียงเพราะแค่จะสอบสัมภาษณ์ บางคนก็ท่องไปเลย บางคนต้องหอบแบบฟอร์มกรอกสมัครงานไปให้คนอื่นกรอกให้ เสียเงิน 100-200 บาท ถึงกระนั้นหลายคนก็ยังคิดว่าภาษาอังกฤษไม่สำคัญ! พนักงานขับรถบางบริษัท มีใบขับขี่ และพูดภาษาอังกฤษได้ เงินเดือนหมื่นกว่าบาท

เราจะฟังภาษาอังกฤษได้อย่างไรในเมื่อบ้านเราหาฝรั่งที่จะคุยด้วยลำบาก มักจะเป็นข้ออ้างสำหรับนักเรียนไทย

ผมมีวิธีหรือเทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษเหมือนมีฝรั่งอยู่ในบ้านหรือมีฝรั่งมาสอนอยู่ในบ้านเลย คุณเคยถามตัวคุณเองบ้างไหมครับว่า เราเรียนภาษาไทยมาอย่างไร? ในความเป็นจริง เมื่อเราอายุประมาณสองหรือสามขวบ เราก็เริ่มที่จะพูดภาษาไทยหรือภาษาท้องถิ่นเพียงแค่สองหรือสามคำพูดในการเริ่มต้น เช่น แม่หนู หิว (ข้าว หรือ นม) ซึ่งก็ยังไม่เต็มประโยค แต่คุณก็พูดได้ และหลังจากนั้นไม่นานคุณก็ได้เข้ากระบวนการเรียน การฟัง การพูดอย่างแท้จริง โดยพูดตามพ่อแม่บ้าง ตามเพื่อนบ้าง โดยบางครั้ง เราพูดภาษาไทยโดยเราไม่ต้องนึกถึงภาษาท้องถิ่น โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแปลจากภาษาท้องถิ่นก่อน ภาษาเหนือ ตั๋วจะไปแหน่ ภาษาไทย คุณจะไปไหน ภาษาอังกฤษ Where you are going? ดูเหมือนมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ แต่ว่ามันไม่ใช่ มันเป็นผลของการสะสมการฟังและเปลี่ยนไปเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างอื่นในเวลาต่อมา 2 หรือ 3 ปีก่อนที่เราจะพูดได้ เราได้ยินพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตายาย พูดตลอดทั้งวันหรือบางคนอาจจะทั้งวันทั้งคืน(ได้ยินคนข้างบ้านทะเลาะกันทั้งคืน) เราได้ยินผู้คนมากมายพูดภาษาไทย สิ่งที่สำคัญมากนั่นก็คือสิ่งที่เราได้ยิน สิ่งที่เราสั่งสมมาจากการฟัง ตลอดระยะ 2หรือ 3 ปี เป็นกระบวนการต่อการเริ่มหัดพูด ตลอดระยะเวลา 2 ปี กี่คำพูด ที่ได้เข้าไปสู่ผัสสะของการฟัง กี่คำพูดที่ผ่านหูเรา ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะมีข้อสงสัยในการฟังว่า การฟังหรือการสั่งสมการฟัง มีประโยชน์ต่อการจำ การออกเสียง แม้กระทั่ง เราจะสังเกตได้ว่าเมื่อเราอายุ แค่ 3 ขวบ พูดภาษาไทยได้ ทั้งที่ยังเขียนหนังสือไม่ได้สักตัว เขียนชื่อตัวเองก็ยังไม่ได้ แต่เราพูดได้ทั้งวัน ดังนั้นการฟังจึงจำเป็นอย่างมากครับ ต่อกระบวนการออกเสียงให้ถูก

ดังนั้น เราจะฟังภาษาอังกฤษอย่างไร เมื่อบ้านพระเนตรของเราไม่มีผู้คนพูดภาษาอังกฤษ หรือครอบครัวเราไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ และเราก็ไม่ได้เป็นลูกครึ่ง แต่อย่างไรก็อย่าเพิ่งท้อนะครับ มีหนทางมากมายที่เราสามารถฟังภาษาอังกฤษได้ หากเรามุ่งมัน อย่างน้อยๆ ขอแค่สนทนาให้รู้เรื่องก็พอ ไม่ใช่พูดภาษาอังกฤษจนเมื่อยมือ

สำหรับวันนี้ผมมีเคล็ดลับดีๆ สำหรับการเริ่มต้น ฟัง พูด ภาษาอังกฤษมาฝากครับ คิดว่าน่าจะพอเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เริ่มจะสนใจเรียนได้บ้าง การเรียนภาษาอังกฤษไม่มีคำว่าสายครับ หากจะสาย นั่นก็คือความคิดของคุณเอง สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อการฟังภาษาอังกฤษของเรา ที่พอจะหาได้ก็คือ

วิทยุ
ปัจจุบันเราสามารถรับฟังภาษาอังกฤษตามสื่อวิทยุได้เกือบทุกประเทศ สองเครือข่ายสถานีที่นับว่ามีชื่อเสียงนั่นก็คือ BBC World Service (สำเนียงอังกฤษแบบอังกฤษ) http://news.bbc.co.uk และ Voice of America. (สำเนียงอังกฤษแบบอเมริกัน) http://www.voanews.com/english/portal.cfm สถานีทั้งสองแห่งถือได้ว่าเป็นสถานีที่ผู้คนเข้าไปฝึกภาษาเยอะเหมือนกันครับ. เพราะมีบทสามารถให้เราได้อ่านภาษาอังกฤษได้ด้วย และอีกสถานีหนึ่งที่ผมชอบฟังนั่นก็คือ http://www.spotlightradio.net หรือ http://www.radio.english.net และสถานีเพลงที่ผมชอบฟังนั่นก็คือ http://www.virginradio.co.uk/listen ลองเข้าไปฟังหรือเข้าอ่าน โดยที่เราเข้าไปดูเว็ปอื่นก็ยังได้ ทำให้เป็นนิสัยครับ

ทีวี
TV ถือได้ว่าเป็นสื่อที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพอย่างมากต่อการฝึกภาษาอังกฤษ เพราะเราสามารถดูรูป ผู้คน ท่วงทำนอง ท่าที่บุคลิกของผู้พูดได้ สามารถทำให้เราเดาเนื้อเรื่องได้ ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจก็ตาม หากบ้านใครติดสัญญาณ UBC ถือว่าคุณมีครูสอนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดครับ

Internet
ถือได้ว่าเป็นสื่อที่หาง่ายต่อการฟังภาษาอังกฤษมากกว่าสื่อใดๆ (สำหรับที่คนติดอินเตอร์เน็ต) ถ้าคุณสามารถอ่านบทความของผมได้ คุณก็เหมือนมีครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่บ้านเช่นเดียวกัน และมีสถานทีวิทยุทั่วโลกอยู่ในบ้านเรา และง่ายต่อการที่จะเข้าไปฟังภาษาอังกฤษครับ ฟังบ่อยๆ และฟังการลงเสียงหนักเบา จะช่วยได้มาก.

เพลง
เพลงที่เป็นภาษาอังกฤษถือได้ว่าเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายมากครับ สำหรับการเริ่มฝึกฟังภาษาอังกฤษ แต่อาจารย์สอนภาษาอังกฤษให้กับผมท่านไม่ค่อยแนะนำให้ฟัง เพราะค่อนข้างเป็นภาษาที่ยาก บางครั้งก็ส่อไปในทางสองแง่สองง่าม ไม่ต้องไปดูอะไรครับ แค่เพลงไทย ขนาดเราเป็นคนไทยแท้ๆ บางท่อนเราก็ยังงงเลย หากความรู้สึกไม่ถึงจริงๆ แต่ก็จงเลือกเอาเพลงที่ง่ายๆ เช่นเพลงของเด็ก ไม่ต้องอายครับ หากใครบอกว่าเราบ้า หรือปัญญาอ่อน สิ่งเหล่านี้ผมเจอมาหมดแล้ว

หนัง / CD
หากพูดเรื่องหนัง ก็ยิ่งเป็นการง่ายต่อการฝึกเรียนการฟังและรูประโยคของภาษาอังกฤษ เพราะปัจจุบันหนังซีดี มี sub-titles.และสิ่งที่เราจะได้รู้จากหนังมากกว่าสื่ออื่นๆ นั่นก็คือ ศัพท์แสลงครับ และมีให้เราอ่านด้วย หากไม่เข้าใจประโยคไหน ก็สามารถกรอกลับมาดูใหม่ได้ แต่การเลือกดูหนังหากเป็นไปได้ควรเลือกหนังที่เราชอบนะครับ เพราะจะทำให้เราเพลินไปกับการฝึกและการฟัง

เพื่อนๆ
พยายามหาเพื่อนที่เขาพูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งจะทำให้เราได้ฝึกภาษาด้วย และนี้ก็เป็นการฝึกภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด เพราะได้พูดคุย และการพัฒนาภาษาจะพัฒนาได้ดีกว่าวิธีอย่างอื่นๆ หากเราพูดผิด เพื่อนสามารถแนะนำได้ครับว่า เราพูดผิดนะ และการเลือกเพื่อนก็ต้องเลือกคบด้วยนะครับ เพราะฝรั่งบางคนก็ Dirty คือลามก บางคนชวนคุยแต่เรื่องเซ็กส์ แต่ดูเหมือนที่บ้านพระเนตร คงจะตัดปัญหาตัวนี้ออกไป เพราะคงหายากที่จะมี เพื่อนเราสักคน พูดภาษาอังกฤษ

สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้จะไม่ช่วยอะไรคุณเลย หากคุณไม่ลงมือทำ การอ่านหนังสือ ย่อมทำให้เราได้รู้กระบวนการที่ดีและถูกต้อง ในการที่จะเรียนรู้ให้ถูกกระบวนการ ต่อให้คุณอ่านคู่มือของมหาวิทยาลัย Oxford ทั้งเล่ม ก็ไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้ หากคุณไม่ลงมือทำ อย่างที่บอกนั่นแหละครับ ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่อาศัยทักษะ หากอายกลัวคนอื่นจะรู้หรือเห็น ก็เข้าไปหัดและฟังเสียงตัวเองได้ในห้องน้ำ (ผมทำบ่อย) เห็นไหมครับว่า เราสามารถฝึกภาษาอังกฤษได้ทุกที่ แต่ที่เราไม่ทำ เพราะหนึ่ง บางคนอาจจะคิดว่ามันไม่สำคัญต่อการดำรงชีวิต ต่ออาชีพการงาน บางครั้งปีหนึ่งก็ไม่เคยพูดกับฝรั่งสักคน เลยไม่รู้จะเรียนไปทำไม แต่สำหรับคนที่เขามีวิถีชีวิตกับภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษคือเงินเดือนของเขาเลยหละ

ประการสุดท้าย อย่ากังวลนะครับ หากเราไม่เข้าใจทุกอย่างที่เราได้ฟัง ฟังบ่อยๆ แล้วเราจะเข้าใจเอง แล้วหลังจากนั้น สำเนียงจะไปของมันเอง (แปลและดัดแปลงจาก How to hear English and how to improve your English; New York University)

ด้วยความปรารถนาดี

พงษ์ประภากรณ์ สุระรินทร์

หากต้องการทราบการอัพเดทของ บทสนทนาอังกฤษ ฝึกภาษาอังกฤษเอง เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ของการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล และเรื่องที่เกี่ยวข้อง แนะนำให้กด ที่ facebook ด้านล่างนี้เลยค่ะ เผื่อที่จะได้อัพเดทก่อนใคร

อัพเดทเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ในหมวดหมู่ของ บทสนทนาอังกฤษ เรื่อง บทสนทนาอังกฤษ ฝึกภาษาอังกฤษเอง เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ของการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล