ฮวงจุ้ย พลังเสริมความรวย

วันนี้เว็บไซต์ PrettyHD จะมาอัพเดทบทความเกี่ยวกับ อัพเดทเรื่อง ดูดวง ฮวงจุ้ย พลังเสริมความรวย วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ซึ่งมีเนื้อหามีดังนี้

ฮวงจุ้ย พลังเสริมความรวย

สุกัญญา สินถิรศักดิ์



ศาสตร์ฮวงจุ้ย ได้รับความสนใจจากคนทุกระดับ
ไม่เว้นแม้แต่อภิมหาเศรษฐีของไทย เจ้าสัวตระกูลดัง
เพราะถือว่าฮวงจุ้ยเป็นหนึ่งในองค์ประกอบแห่งความสำเร็จ
ในการสร้างอาณาจักร อันยิ่งใหญ่ให้ตัวเอง



“ถ้าถามว่าทำไมเจ้าสัวต้องเชื่อนักดูฮวงจุ้ย คงเป็นเพราะคนระดับนี้ไม่มีเวลาที่จะล้มแล้ว
เขาผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึงช่วงอายุที่มากเกินกว่าจะยอมเสี่ยงทำอะไรใหม่ๆ
แบบพร้อมล้มแล้ว เขาจึงต้องใช้ที่ปรึกษา”
"อาจารย์วิศิษฎ์ เตชะเกษม" บริษัทเทรา มาซา
บริษัทออกแบบและที่ปรึกษาด้านฮวงจุ้ย ให้ความเห็น

พร้อมขยายความว่า ในความสำเร็จมีองค์ประกอบหลายด้าน ทั้งด้านการเงิน วิธีการลงทุน โอกาสทางตลาด

การใช้ที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านเข้ามาเสริมองค์กร
 ก็เหมือนมี “สูตรแห่งความสำเร็จ” อยู่ในมือ

ทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ วางแผนทางการเงินเช่นไร ลงทุนอย่างไร
 ในช่วงจังหวะใดของตลาด เรียกว่า ลดความเสี่ยงในการลองผิดลองถูก นั่นหมายรวมถึง
การต้องมีที่ปรึกษาในด้านฮวงจุ้ย ที่ว่าด้วยการศึกษาพลังลม
น้ำ ก็เพื่อรู้สูตรในการดึงมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับองค์กร

ขณะที่ "อาจารย์มาศ เคหาสน์ธรรม" ซินแสฮวงจุ้ยอีกราย อธิบายในหนังสือฮวงจุ้ยชั้นสูงเชิงวิทยาศาสตร์ว่า
 ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของการบริหารพลังธรรมชาติรอบตัวให้มาเสริมคน
หรือ How to manage energy เพราะคนเราอยู่ท่ามกลางพลังงานตลอดเวลา
 จึงควรหาหนทางนำพลังงานรอบตัวมาเสริมเรา

การใช้วิธีอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ มีเหตุมีผลสอดรับ ทำให้ศาสตร์ของฮวงจุ้ยเป็นที่ยอมรับ
ทั้งในหมู่เจ้าสัวเจ้าของเม็ดเงินลงทุน รวมถึงสถาปนิก นักออกแบบ ที่ต้องจัดปรับการออกแบบ
 ตกแต่งให้สอดคล้องกับหลักการของซินแสอีกด้วย


สังเกตให้ดีจะเห็นว่า อาคารตึกใหญ่ในไทยมักมีเรื่องราวการปรับแก้ฮวงจุ้ย
ของตนเองสอดแทรกอยู่อย่าง แนบเนียนนอกเหนือจากความโอ่อ่าสวยงาม

ขณะที่องค์กร ธุรกิจใดมีปัญหา ที่ตั้งของบริษัทอย่างตัวตึก
 หรืออาคารก็จะถูกอธิบายว่า ฮวงจุ้ยไม่ดี อย่างเช่นที่ทำการพรรคไทยรักไทยหรือตึกไอเอฟซีทีเดิม
กระทั่งล่าสุดอาคารไซเบอร์เวิลด์
ซึ่งเพิ่งถูกไฟไหม้หลังจากถูกทิ้งร้างมาแล้วครั้งหนึ่ง

จังหวะที่ฮวงจุ้ยกลายเป็นกระแสฮอตฮิตในไทย เป็นช่วงที่ตลาดอสังหาฯ
เริ่มฟื้นตัวหลังฟองสบู่แตก หรือประมาณปี 2543-2545 ซึ่งตอนนั้นไม่ว่าจะทำโครงการไหน
 ก็ต้องพูดถึงเรื่องฮวงจุ้ยเป็นหลัก


เรียกว่าเป็นยุคฮวงจุ้ยฟีเวอร์ก็คงไม่ผิด เนื่องจากทุกคนไม่อยากเจ็บตัวอีก ไม่อยากพังเหมือนตอนปี 2540

นักพัฒนาที่ดินจึงต้องศึกษาอย่างละเอียด รอบด้าน ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของฮวงจุ้ยเพื่อกันพลาด

ยิ่งเจ้าสัวเหล่านั้นมองว่า ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ เติบโต เฟื่องฟู
เพราะมีความเชื่อในเรื่องฮวงจุ้ย แล้วสร้างอาคารต่างๆ ตามหลักฮวงจุ้ย
 เพื่อดึงดูดเม็ดเงิน ก็ทำให้ฮวงจุ้ยกลายเป็นที่พึ่ง

"ถ้ามองย้อนกลับไปเมื่อปี 2537-2539 ช่วงที่ตลาดอสังหาฯ บูมสุดขีด ไม่มีใครพูดถึงฮวงจุ้ยเลย ไม่ต้องศึกษาอะไรทั้งนั้น ที่ดินแบบไหนก็ขายได้ ช่วงนั้น ที่ดินไม่มีคุณค่า มีแต่มูลค่า พอถึงเวลาล้ม กลายเป็นว่าตึกไหนหรือใครที่อยู่รอด เป็นเพราะฮวงจุ้ยดี มีซินแสดี เลยทำให้ฝ่าวิกฤติมาได้" อาจารย์วิศิษฎ์กล่าว

นอกจากนี้ความศรัทธาและความเชื่อที่มีต่อฮวงจุ้ยสำหรับเจ้าสัวยักษ์ใหญ่แล้ว ไม่ใช่ลักษณะเชื่อเพียงซินแสคนเดียว เพราะการทำธุรกิจร้อยล้าน พันล้าน จะมีที่ปรึกษาเพียงคนเดียว ก็คงเสี่ยงเกินไป จึงต้องมีทั้งซินแสคนสนิท ขาประจำ และซินแสคนดังขาจร เวียนวนเข้ามาร่วมวิเคราะห์ชัยภูมิ

เรียกว่า วิกฤติเป็นบทเรียน ต้องชัวร์สุดๆ ซินแสยืนยันว่าดี 3-4 คนก่อน
 ถึงยอมควักกระเป๋าลงทุนรอบใหม่


หรือในยุคนี้ ขนาดโครงการขายดีเทน้ำเทท่าอย่างคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้า แม้จะมีดีมานด์ร้อนแรง ออกมาเท่าไหร่ขายหมดเกลี้ยง เจ้าของโครงการยักษ์ใหญ่ยังต้องฟังคำปรึกษาจากซินแสชั้นนำในเรื่องฮวงจุ้ย ของแต่ละทำเลทั้งนั้น

โดยในยุคที่ซิตี้ คอนโด ยังไม่หวือหวา ศึกชิงที่ดินยังไม่เกิด ที่ดินเกือบทุกแปลงต้องผ่านตาซินแสดังก่อน ถึงจะเชย์เยสกับนายหน้า

แต่พอมาถึงจุดที่การแข่งขันดุเดือด แย่งชิงที่ดินกันแปลงต่อแปลง แบบเงินใครไวกว่า คนนั้นได้ไป หากรอซินแสมาวิเคราะห์ที่ดินก่อนคงไม่ทันกาล จึงต้องเปลี่ยนเป็น "ซื้อมาก่อน ค่อยปรับฮวงจุ้ยทีหลัง" เพราะจะหาที่ดินที่ฮวงจุ้ยสมบูรณ์ในสมัยนี้ คงยากแล้ว

เท่ากับเพิ่มความต้องการซินแสอีกทาง

กลเม็ดซื้อมาก่อนแก้ทีหลัง ไม่ใช่เฉพาะที่ดินเท่านั้น ตึกเก่า ตึกร้างบางแห่ง ถ้าแก้เป็น แก้ดี ย่อมพลิกร้ายให้กลายเป็นดีได้

อย่างอาคารสำนักงานใหญ่ของตระกูลดังรายหนึ่ง ที่ตัดสินใจซื้อตึกเก่ามาเป็นออฟฟิศใหม่ แม้ตึกนั้นจะอยู่ในทำเลที่ดี แต่การออกแบบของเจ้าของเดิมผิดหลักฮวงจุ้ย มีผลให้บริษัทที่เคยอยู่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

เมื่อมีการซื้อมาแล้วปรับแก้ด้วยเทคนิคการ "บิดตึก" ซึ่งในทางฮวงจุ้ยหมายถึง การหันชื่อบริษัทให้ถูกทิศที่เหมาะกับตัวบริษัท เพื่อเก็บกักกระแสเงินและชื่อเสียงให้เข้าสู่บริษัท ปัจจุบันก็ถือว่าบริษัทดังกล่าวประสบความสำเร็จไม่น้อย

บางโครงการถึงกับเลือกใช้ซินแสมากกว่า 1 คน แยกตามลักษณะของงาน คนแรกอาจจะดูภาพรวมของทั้งโครงการ ชัยภูมิที่ตั้ง ทำเล คนที่สองอาจจะดูรายละเอียดของการออกแบบ คนที่สามอาจดูในส่วนของการตกแต่ง

อย่างโครงการไซเบอร์เวิลด์ หรืออาคารศรีวราไฮเทคเดิม ที่บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด ของเจ้าพ่อน้ำเมา เจริญ สิริวัฒนภักดี เทคโอเวอร์มาเมื่อ 2-3 ปีก่อน ตึกนี้หลายคนมองว่าอาถรรพ์ฮวงจุ้ยแรง ต้องทิ้งร้างมานานเกือบ 10 ปี พอมาอยู่ในมือเจ้าสัวแล้ว วงในซินแสเล่ากันว่า โครงการนี้ต้องใช้ซินแสประมาณ 3 คน แยกตามรายละเอียดของงานทุกขั้นตอน

ด้วยความที่ต้องใช้ซินแสหลากหลาย จึงมีข่าวว่า บริษัทในเครือของเจ้าสัวเจริญต้องมีแผนก "เทพสัมพันธ์" เพื่อติดต่อกับกลุ่มซินแส คนทำพิธีกรรมต่างๆ สำหรับการใช้กับทุกโครงการที่มีอยู่

แม้ความสำเร็จของเจ้าสัวเจริญ ฮวงจุ้ยคงไม่ใช่ปัจจัยหลัก เพราะวิธีคิดของเจ้าสัวอยู่ที่การมองจังหวะของตลาดให้เป็นว่าโอกาสนี้เหมาะ สมที่จะซื้อที่ดินใคร ซื้อที่ดินตรงไหน ลงทุนอย่างไร และควรซื้อเวลาไหน แต่แนวคิดก็สอดคล้องกับต้นตำรับศาสตร์ฮวงจุ้ยที่พูดถึงหนทางแห่งความสำเร็จ ซึ่งอาศัย 3 ปัจจัยหลัก 1.ฟ้า 2.ดิน และ 3.คน

  หมายถึง รู้ฟ้า หรือรู้เวลาที่เหมาะสม รู้ดิน หรือรู้สถานที่ที่เหมาะสม และรู้คนที่เหมาะสม ใครที่ต้องเข้าถึง ใครที่นำพาความสำเร็จมาให้

ถือเป็นหลักที่สามารถปรับใช้กับทุกธุรกิจได้

เวลาที่เหมาะสม ในสถานที่เหมาะสม และกับคนที่เหมาะสม !


เมื่อผู้รู้ด้านฮวงจุ้ย หรือซินแสเป็นที่ต้องการ ซินแสบางรายก็กลายเป็นคนดัง เมื่อดังก็เกิด “เหล่าสาวก” และจากการให้คำปรึกษาแบบคนกันเอง คนคุ้นเคย ก็ขยับขึ้นมาพัฒนาเป็น “ธุรกิจ” ดูฮวงจุ้ย แก้ปัญหาฮวงจุ้ย

ยิ่งถ้าเป็นซินแสคนดังก็ทำธุรกิจแบบอินเตอร์ บินไปดูฮวงจุ้ยข้ามประเทศเลยทีเดียว

ในหมู่ซินแสเองก็มีทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ต่างตำรา ต่างแนววิเคราะห์ เลย “แตกค่าย” เป็นค่ายของซินแสแต่ละคน พอมีหลายค่าย ก็กลายเป็นสมาคม เป็นชมรมต่างๆ

มีการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องมือดูฮวงจุ้ยด้วยโปรแกรมคำนวณทิศทางพลังงาน เครื่องวัดกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าจากสภาพแวดล้อม ใช้กูเกิล เอิร์ธ ประกอบคำอธิบาย

ฮวงจุ้ยจึงกลายเป็นองค์ความรู้ที่สร้างเม็ดเงินให้กับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจให้คำปรึกษาฮวงจุ้ย การจัดหลักสูตรอบรม มีรายการทีวีด้านนี้ มีหนังสือ เวบไซต์ ออกมามากมาย

แม้จะไม่มีใครสามารถบอกมูลค่าของตลาดนี้ได้ชัดเจน หรือพูดถึงอัตราที่ได้รับได้ แต่เชื่อว่าถ้าเป็นซินแสให้กับงานของเจ้าสัวชั้นนำของไทยแล้ว ตัวเลขคงไม่น้อยกว่า 7 หลักต่อโปรเจคอย่างแน่นอน ไม่นับรวมเงินเดือนเรือนแสนอีกต่างหาก


+++++++++++++++++
ราชประสงค์ ชุมชนแห่งเทพ


 

กลายเป็นเคสคลาสสิกที่สุด ถ้ามีการพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับ "ฮวงจุ้ย" ทำเลไหนฮวงจุ้ยดี หรือไม่ดี หรือมีการฟาดฟันกันเรื่องฮวงจุ้ย ย่อมพลาดไม่ได้ที่จะต้องพูดถึง "แยกราชประสงค์"

สี่แยกที่ไม่ว่าซินแสยุคใด จากค่ายไหน สำนักใด ต่างยกให้ว่าเป็น "สี่แยกแห่งเทพ" เพราะบรรดาเจ้าของธุรกิจต่างต้องอัญเชิญเทพที่เคารพบูชามาสถิตไว้

นอกจากฟาดฟันกันเรื่องธุรกิจแล้ว ในมุมมองของซินแสยังวิเคราะห์ว่า เทพของห้างนั้นถูกนำมาสู้กับเทพของห้างนี้อีกต่างหาก

เทพองค์แรก ณ สี่แยกราชประสงค์ คือ ท้าวมหาพรหม บนพื้นที่ของโรงแรมแกรนด์ ไฮเเอท เอราวัณ ซึ่งเดิมใช้ชื่อว่า "โรงแรมเอราวัณ"

ว่ากันว่าในช่วงแรกของการก่อสร้างเกิดอุบัติเหตุไม่น้อย จนเมื่อแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2499 ในการหาฤกษ์เปิดโรงแรม จึงมีการท้วงติงกันว่า ฤกษ์ในการวางศิลาฤกษ์ของโรงแรมก็ไม่ถูกต้อง การก่อสร้างโรงแรมก็ไม่ได้ทำพิธีบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณนั้นก่อน

อีกทั้งชื่อของโรงแรม "เอราวัณ" เป็นชื่อของช้างทรงของพระอินทร์ ถือเป็นชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ จำเป็นต้องบวงสรวงให้เหมาะสม

วิธีการแก้ไขจะต้องขอพรจากพระพรหมเพื่อช่วยให้อุปสรรคหมดไป และจะต้องสร้างศาลพระพรหมขึ้น เพื่อช่วยปัดเป่าความขัดข้อง อุปสรรค และส่งเสริมโชคและความสำเร็จ

พอมาถึงยุคที่เมืองเริ่มขยาย เศรษฐกิจอู้ฟู่ ทางวังเพชรบูรณ์ (เดิมอยู่บนที่ดินของเซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบัน) มีแนวคิดจะสร้างศูนย์การค้าราชดำริ ตรงส่วนหัวมุมของที่ดิน หรือตรงบริเวณ "เซน" ในปัจจุบัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จต้องปิดกิจการไป

หากมองตามฮวงจุ้ยแล้ว ศูนย์การค้าราชดำริแห่งนี้อยู่ตรงมุมที่ปะทะกับพระพรหมฝั่งโรงแรมเอราวัณพอดี

หลังจากนั้น มีกลุ่มทุนญี่ปุ่นเข้ามาเปิดห้างสรรพสินค้า "ไทยไดมารู" แต่เดิมอยู่ฝั่งวังเพชรบูรณ์ ติดฝั่งถนนราชดำริ แต่ทำแล้วไม่รุ่ง จึงย้ายมาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบัน เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของไทยที่มี "บันไดเลื่อน" มีชื่อเสียงโด่งดังมาก จนสามารถโค่นเซ็นทรัล สาขาราชประสงค์ลงได้

จนมาถึงยุคที่ตระกูลเตชะไพบูลย์เรืองอำนาจในแวดวงธุรกิจ เจ้าของธนาคารศรีนคร และธนาคารมหานคร ตัดสินใจขอเช่าพื้นที่วังเพชรบูรณ์ ก่อสร้างโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่ภายใต้ชื่อ "เวิลด์เทรด" มูลค่าประมาณ 5-6 พันล้านบาท โดยมี "รังสรรค์ ต่อสุวรรณ" กูรูอสังหาริมทรัพย์ในยุคแรก มาเป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ

แต่ด้วยมีกระแสข่าวว่าเวิลด์เทรดจะใช้เงินจากศรีนครมาเป็นทุนสนับสนุน สร้างความไม่พอใจแก่ผู้ถือหุ้นกลุ่มอื่น เจ้าสัวอุเทน เตชะไพบูลย์ จึงต้องตัดสินใจเจรจากู้เงินกับเวิลด์เทรด อเมริกา ซึ่งทางเวิลด์เทรด อเมริกา ยื่นข้อเสนอว่า หากให้ทุนในการกู้ยืมจะขอออกแบบเอง

สร้างความไม่พอใจให้กับอาจารย์รังสรรค์ จนมีเรื่องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย

แม้ตระกูลเตชะไพบูลย์จะสามารถเข็นโครงการออกมาได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่วาดหวังไว้ เมื่อศึกษาในด้านฮวงจุ้ยจึงพบว่า ในช่วงของการก่อสร้างมีการรื้อวังเพชรบูรณ์ของรัชกาลที่ 4 ที่มีองค์ "พระตรีมูรติ" อยู่ โดยไม่ได้ขออนุญาตอย่างถูกต้องก่อน และพระตรีมูรติองค์ดังกล่าวได้หายสาบสูญไป ทางผู้บริหารเวิลด์เทรดในยุคนั้น จึงให้ตามหาพระตรีมูรติตามร้านขายของเก่าต่างๆ จนพบ และนำกลับมาทำพิธี พร้อมกับทำองค์คล้ายองค์จริง แต่เปลี่ยนจากการถืออาวุธเป็นถือดอกไม้ ตั้งไว้ตรงมุมที่ปะทะกับพระพรหม

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของโครงการก็ไม่สู้ดีนัก บรรดาซินแสจึงวิเคราะห์ว่า น่าจะเป็นเพราะมีการปะทะระหว่างพระพรหมกับพระตรีมูรติ ซึ่งพระตรีมูรติไม่สามารถที่จะต่อสู้กับพระพรหมได้ จึงทำให้เวิลด์เทรดประสบแต่อุปสรรค

ต่อมาตระกูลจิราธิวัฒน์ตัดสินใจเทคโอเวอร์โครงการทั้งหมด และเปลี่ยนชื่อเป็น "เซ็นทรัล เวิลด์ พลาซา" แต่ภายหลังได้ตัดคำว่า "พลาซา" ออกไป เพื่อให้กระชับและเรียกง่ายขึ้น

ขณะที่โรงแรม ศูนย์การค้า สถานที่ราชการที่อยู่บริเวณนั้น เมื่อเริ่มกิจการ ต่างต้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถอยู่คู่กับพระพรหมได้ เพื่อไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินงาน

อย่างกรมตำรวจมีการอัญเชิญ "พระศิวะ" มาไว้ภายในกรมฯ ด้านห้างโซโก้ฝั่งเดียวกับพระพรหม ก็มีการอัญเชิญ "พระอินทร์" มาไว้ด้านข้างของตัวห้าง ส่วนฝั่งตรงข้าม ศูนย์การค้าเกษร พลาซ่า มีการอัญเชิญ "พระลักษมี" มาไว้ด้านซ้ายของตัวห้าง เยื้องกับพระพรหม และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล มี "พระนารายณ์"

ทำเลราชประสงค์ จึงกลายเป็นทำเลแห่ง 5 เทพ

สำหรับเวิลด์เทรด เมื่อถูกแปลงโฉมมาเป็นเซ็นทรัลเวิลด์ ภายใต้การดูแลของกลุ่มซีพีเอ็นแล้ว คาดว่ามีการแก้เคล็ด แก้ฮวงจุ้ยมากมาย

เดิมที่มีบันไดขนาดใหญ่เป็นทางขึ้นก่อนประตูเข้าตัวศูนย์ฯ ซึ่งบรรดาซินแสมองว่า เป็นเหมือนทางปิดปากตัวเอง ปิดทางทำมาหากิน ทำให้เงินทองไหลออก ทุกวันนี้ บันไดนี้ถูกรื้อทิ้ง และตัวศูนย์ฯก็ขยับมาใกล้ถนนมากขึ้น

นอกจากนี้ การที่รถไฟฟ้าไม่ผ่านหน้าโครงการ แต่วิ่งเลยไปยังฝั่งสุขุมวิท ทำให้ไม่สามารถกักเก็บพลังได้ กลุ่มซีพีเอ็นต้องสร้างสะพานเชื่อมหรือที่เรียกว่า "สกายวอล์ค" ด้วยมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท

ในทางฮวงจุ้ยแล้ว เปรียบเหมือนส่วนกักเก็บพลังเข้าศูนย์ฯ พร้อมกันนี้ ยังได้ย้ายพระตรีมูรติ จากมุมที่ปะทะกับพระพรหมไปยังฝั่งอิเซตัน

แต่จะว่าไปแล้ว เซ็นทรัลเวิลด์ในวันนี้ ฝั่งที่ดีที่สุด ก็ยังไม่ใช่ฝั่งเวิลด์เทรดเดิม แต่กลับเป็นพื้นที่สร้างใหม่ของเซ็นทรัลเวิลด์ฝั่งถนนพระราม 1 ที่มีรถไฟฟ้าผ่าน และมีสะพานเชื่อมเข้าสู่ตัวศูนย์ฯ

ส่วนศูนย์การค้าเกษร พลาซ่า ที่มีคนในตระกูลศรีวิกรม์เป็นผู้บริหาร หากดูตามทำเลที่ตั้ง น่าจะเป็นทำเลที่ดีไม่น้อย เพราะอยู่ใจกลางเมือง กลางสี่แยกราชประสงค์ ใกล้รถไฟฟ้า แต่ยังไม่เป็นศูนย์การค้าที่บูมขึ้นชื่อนัก

ซินแสฟันธงว่า เป็นเพราะฮวงจุ้ยไม่ดี สู้กับพระพรหมของโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณไม่ได้

หากต้องการทราบการอัพเดทของ ดูดวง ฮวงจุ้ย พลังเสริมความรวย และเรื่องที่เกี่ยวข้อง แนะนำให้กด ที่ facebook ด้านล่างนี้เลยค่ะ เผื่อที่จะได้อัพเดทก่อนใคร

อัพเดทเมื่อ วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ในหมวดหมู่ของ ดูดวง เรื่อง ดูดวง ฮวงจุ้ย พลังเสริมความรวย